ศิลปะตะวันตก

ศิลปะตะวันตก

ประวัติศาสตร์ศิลป์ หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของผลงานศิลปะที่สร้างขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามความเชื่อ ความศรัทธา สภาพความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อม วัฒนธรรม การเมือง และการปกครอง ของแต่ละยุคสมัย

ประโยชน์ของศิลปะ

1. ทำให้ได้รู้จักลักษณะแบบอย่างและความแตกต่างของศิลปะแต่ละชนชาติ

2. ทำให้เข้าใจถึง ความเชื่อ ความศรัทธา สภาพความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อม วัฒนธรรม การเมือง การปกครอง อันเป็นผลทำให้เกิดลักษณะศิลปะที่แตกต่างกัน

3. สามารถนำข้อดีและข้อบกพร่องของผลงานศิลปะในอดีตมาพัฒนาปรับปรุง เพื่อสร้างผลงานศิลปะในอนาคต

4. เพื่อให้เห็นคุณค่าของผลงานศิลปะ ในการที่จะอนุรักษ์ สืบสานและพัฒนาต่อไป เพราะอดีตคือ ผลพวงของปัจจุบัน ปัจจุบันคือ ผลพวงของอนาคต

ประวัติศาสตร์ของยุโรปแบ่งอย่างกว้าง ๆ ได้เป็น 4 ยุค คือ


1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic) = ยังไม่มีตัวอักษรใช้

  • ยุคหินเก่า (30,000-10,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช)

– มนุษย์อาศัยอยู่ตามถ้ำ ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์

– ประดิษฐ์อาวุธและแกะ สลักรูปเคารพจากหิน

– นิยมสร้างผลงานจิตรกรรมบนผนังถ้ำ เพื่อบันทึกประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน

จิตรกรรม : ใช้เป็นสื่อประกอบเรียนรู้การล่าสัตว์ พบร่องรอยขีดข่วนด้วยของมีคมบริเวณจุดตายบนภาพสัตว์ที่วาดอยู่บนผนังถ้ำ

ลักษณะเด่น

  • ใช้วิธีการพิมพ์โดยใช้สีทาบนมือแล้วกดประทับกับผนังถ้ำ
  • วางมือบนผนังแล้วระบายหรือพ่นสีรอบมือ
  • ภาพสัตว์แสดงอาการเคลื่อนไหวเสมอ
  • มีการวาดเป็นเส้นหนักเบา โดยใช้พู่กันที่ทำจากขนสัตว์หรือเปลือกไม้
  • สีที่ใช้ทำจากดินแดง ดินเหลือง ดินดำ หรือเขม่าไฟ ร่วมกับส่วนผสมของไขสัตว์ ยางไม้

ประติมากรรม : ใช้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ ความตาย สำนึกบาป

  • ยุคหินใหม่ (10,000-2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช)

– มนุษย์ได้ออกจากถ้ำมาอาศัยอยู่บนพื้นที่ราบ

มีการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ มีระบบการแลกเปลี่ยน

– ผลงานที่สำคัญและโดดเด่นของยุคนี้ได้แก่งานสถาปัตยกรรมสร้างจากหิน

จิตรกรรม :

  • วาดภาพแบบไม่เหมือนจริง แสดงความคิดรวบยอดด้วยอารมณ์และจินตนาการเป็นลวดลายหรือสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น วงกลมแทนดวงอาทิตย์ สามเหลี่ยมแทนภูเขา เป็นต้น
  • แสดงถึงคติความเชื่อ และพิธีกรรม
  • เพื่อการประดับตกแต่งให้เกิดความสวยงาม

ลักษณะเด่น : ออกแบบลวดลายด้วยเส้นเรขาคณิต

หัตถกรรม : นำหินสีมาตกแต่งเป็นลูกปัด ทำเครื่องประดับ

สถาปัตยกรรม : ใช้หินขนาดใหญ่จัดวางในรูปแบบที่มีการวางแผนไว้ก่อนได้เป็นอย่างดี

อนุสาวรีย์หินล้อม (Stonehenge)

  • ยุคโละ (5,000-2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช)

– รู้จักวิธีการหลอมทองแดงกับตะกั่ว

– รู้จักการหล่อทองแดง

– สุดท้ายของยุคนี้มีการใช้โลหะที่เป็นเหล็ก

– ใช้โลหะทำภาชนะ เครื่องใช้ไม้สอยและเครื่องประดับ

ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียงจังหวัดอุดรธานี ประเทศไทย

2. ยุคโบราณ (Ancient Age) = มีตัวอักษรใช้แล้ว

  • สมัยเมโสโปเตเมีย

– หมายถึง ดินแดนระหว่างแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส

– มีลักษณะเป็น รูปพระจันทร์เสี้ยว

– เมโสโปเตเมียแบ่งออกเป็นสองส่วน

  • ส่วนล่างใกล้กับอ่าวเปอร์เซีย มีความอุดมสมบูรณ์ เรียกว่าบาบิโลเนีย (Babylonia)
  • ส่วนบนซึ่งค่อนข้างแห้งแล้งเรียกว่าแอสซีเรีย (Assyria)

– มีชนชาติหลายเผ่าพันธุ์อาศัยรวมกัน มีการรบพุ่งกันอยู่เสมอ

มีการคิดค้นประดิษฐ์ตัวอักษรลิ่ม

ภาพ : กล่องเพลงเสียงพิณ

  • เทคนิค : งานโมเสก (Mosaic) โดยใช่เปลือกหอยสีขาวมาเรียงกัน

กุเดีย เจ้าเมืองลากาช (Gudea,Governor of Lagash) กำลังบูชาเทพเจ้า

  • เน้นจุดเด่นกายวิภาค
  • เป็นแท่งเหลี่ยม ตามลักษณะของก้อนหิน

ซิกูแรต

  • เป็นหอสูงคล้ายปิรามิดก่อเป็นชั้นๆสูงสุดมีถึง 7 ชั้น
  • เป็นวิหารรูปแบบหนึ่ง
  • ใช้สำหรับพิธีบวงสรวงของพระเพื่อบูชาพระเจ้า

– สมัยบาบิโลน

  • เสาหินสำหรับปักกำหนดเขตแดน (Boundry stones
  • ศิลาจารึกประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบิ (Stele of Hammurabi)
  • การทำกระจก แก้วสี และอิฐเผาเคลือบสี สำหรับใช้ประดับตกแต่งบนผนัง
  • สวนลอยแห่งบาบิโลน
    • เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
    • มีน้ำตกด้วย
    • สร้างโดยกษัตริย์นีบูชัดเนซซาร์ที่ 2 เพื่อเอาใจพระมเหสีและพระสนม
  • สมัยอียิป 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช

– มีการรักษาศพไว้อย่างดีโดยทำมัมมี่

– ผลงานศิลปกรรมมีลักษณะใหญ่โตคงทนถาวรสร้างขึ้นเพื่อสนองความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย

– รูปปั้นพระราชินีเนเฟอร์ติตี

– ปิรามิดหมู่ที่เมืองกิซา

  • สมัยกรีก (1,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช)

– ชาวกรีกเชื่อว่า “ศิลปะคือการเลียนแบบธรรมชาติ

– ศิลปะกรีกแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่

  • แบบเรขาคณิต (Geometric Period) 1100-700 ปีก่อน คริสต์ศักราช
    • เขียนด้วยน้ำยาเคลือบ นิยมใช้สีดำ และสีแดง
    • วาดเป็นลวดลายเรขาคณิตแบนๆ บนแจกัน
    • เรื่องราวเกี่ยวกับขบวนพิธีศพโดยมีศพผู้ตายอยู่บนเสรี่ยง
  • แบบอาร์เคอิก (Archaic Period) 700-400 ปี ก่อน คริสต์ศักราช
    • เริ่มนิยมทำงานประติมากรรมหินให้มีลักษณะนุ่มนวลเป็นธรรมชาติมากขึ้น
    • นิยมแกะสลักรูปเปลือยเพื่อแสดงสรีระอันงดงามของมนุษย์
    • ภาพมีรูปร่างและสัดส่วนเป็นธรรมชาติ
    • เรื่องราวมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพนิยาย
  • แบบคลาสสิก (Classic Period) 480-323 ปี ก่อน คริสต์ศักราช
    • ปรากฏอยู่ตามที่สาธารณะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และในวิหารต่างๆ
    • วิหารพาร์เธนอน

° สร้างถวายเทพีอาธีน่า

° ใช้เสาแบบ ดอริก โคนเสาใหญ่ไม่มีฐาน

° หลังคาเป็นรูปหน้าจั่ว

  • ประติมากรรมลอยตัว
  • หลักกายวิภาคที่เรียบง่าย สมดุล ท่วงท่าและความพลิ้วไหว
  • แบบเฮลเลนนิสติก (Hellenistic) 323 ปี ก่อน คริสต์ศักราช
    • เทพีแห่งชัยชนะ แห่งซามอแทร็ก (Nike of Samothrace)
    • เลาคูนกับลูก (Laocoon and his Sons)
    • วีนัสแห่งเกาะมิโล (Venus de Milo)
  • สมันโรมัน (500 ปีก่อนคริสต์ศักราช)

ได้รับอิทธิพลจากศิลปะกรีกอย่างมาก*

– มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความกล้าหาญและวีรกรรมของวีรบุรุษ

– นิยมวาดภาพคนเหมือนและบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติสาสตร์ รวมทั้งภาพทิวทัดต่างๆ

– ประติมากรรมอนุสวรีย์ออกุสต์ ซีซาร์

– โคลอสเซียม

– วิหารเพนธีออน
3. ยุคกลาง (Middle Age) เชื่อในคริสต์ศาสนา

  • สมัยไบเซนไทน์ (คริสต์ศตวรรษที่ 1-14)

– ไบเซนไทน์ คือ อาณาเขตแถบโรมันตะวันออก

– มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล

– มีพัฒการต่อเนื่องจากศิลปะโรมัน

– ให้ความสำคัญกับเรื่องราวตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และความศรัทธาในคริสต์ศาสนา

– นิยมวาดบนฝาผนังและแผงไม้

– ใช้สีฝุ่น สีขี้ผึ้งร้อน และสีปูนเปียกอย่างแห้ง รวมทั้งงานโมเสก

– ใช้รูปเชิงสัญญาลักษณ์มากกว่าเลียนแบบธรรมชาติ

– ศาลาประชาคมซานมาร์ โค

  • สมันโรมานเนสก์ (ค.ศ 1050-1150)

– เกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของพระ ระบบศักดินา และสงครามครูเสด

– ให้ความสำคัญกับสถาปัตยกรรมที่สนองความต้องการทั้งฝ่ายศาสนาและฝ่ายศักดินา

  • ฝ่ายศาสนาจักร ต้องการสร้างโบสถ์ให้เป็นที่พักสำหรับนักรบ ประดับด้วยผลงานศิลปะที่เกี่ยวกับศาสนา
  • ฝ่ายศักดินาขุนนางและเศรษฐี ต้องการคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่มั่นคง ปลอดภัย มีความคิดมาจาก ฮาเร็ม

– โบสถ์เซนต์ จอห์น

– หอเอนปิซา เป็นหอระฆังที่สร้างแยกออกมาโดดๆอยู่หลังโบสถ์เซนต์ จอห์น

– โบสถ์เซนต์ ฟรองท์

– โบสถ์แบมเบิร์ก (Bamberg Cathedral)

– โบสถ์เมืองทราเออร์ (Trier)

  • สมัยโกทิค (ค.ศ. 1150-1500)

กอทิก เป็นคำที่นักวิจารณ์ชาวอิตาเลียนสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาใช้เรียกผลงานศิลปะที่ด้อยค่า

– มีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส

– ได้รับอิทธิพลจากศิลปะโรมันเนสก์

– ทำเพดานให้สูงขึ้น ปรับหลังคาให้มียอดแหลม

– เหนือประตูนิยมทำเป็นวงโค้งแหลม ตกแต่งด้วยประติมากรรมแกะสลักนูนสูง

ผนังเจาะช่องว่างประดับกระจกสี

– มีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาคริสต์

– ให้ความสำคัญกับเพศหญิง เคารพพระแม่มารี

– วัดโนเตรอ ดาม แห่งปารีส(Notre Dame of Paris)

  • “หน้าต่างดอกกุหลาบ” (Rose Window)

– โบสถ์อาเมียงส์ (The Cathedral of Amiens)

– โบสถ์เมืองโคโลญน์
4. ยุคใหม่ (Modern Age)

  1. 1. ศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance Art)

– เริ่มต้นในประเทศอิตาลี

– มีการขุดค้นพบซากเมืองโบราณของกรีกและโรมัน จึงมีการนำศิลปวิทยาการที่ได้จากการขุดค้นพบมาปรับปรุง ดัดแปลงใหม่

– นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้กับการสร้างผลงานศิลปะ

  • สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนต้น (ค.ศ.1397-1507)

– เป็นช่วงเชื่อมต่อกับสมัยกอทิก

– เริ่มมีความคิดเกี่ยวกับมนุษยนิยม

– เริ่มให้ความสนใจกับแสงสะท้อนกับเงาในกระจกและอากาศ

– วิธีการวาดภาพโดยใช้หลักทัศนยวิทยาตามหลักวิทยาศาสตร์อีกด้วย

– มีการวาดภาพสีน้ำมัน

ภาพ : โมนา ลิซา ศิลปิน : เลโอนาร์โด ดา วินซี

ภาพ : Virgin of the Rocks ศิลปิน : เลโอนาร์โด ดา วินซี

ภาพ : พิธีแต่งงานของ Arnolfini ศิลปิน : แจน แวน อิค

ภาพ : กำเนิดวีนัส ศิลปิน : บอตตีเชลลี

ภาพ : อาหารเมื้อสุดท้าย ศิลปิน : เลโอนาร์โด ดา วินซี

– ประติมากรรมแกะสลักหินอ่อน ปีเอตา (Pieta

– ประติมากรรมแกะสลักหินอ่อน เดวิด

  • สมัยบาโรก (คริสต์ศตวรรษที่ 16)

– ศิลปะที่วิจิตรงดงาม แสดงรายละเอียดสลับซับซ้อน ยิ่งใหญ่อลังการ และหรูหรา

– การตกแต่งลวดลายให้ดูวิจิตรอลังการซึ่งส่วนใหญ่คือ ลายใบไม้ ดอกไม้ ช่อดอกไม้ ผสมผสานกับเส้นโค้งที่อ่อนช้อย ประดับประดาจนดูรกรุงรังเกินความจำเป็น

– สีที่ใช้ประดับตกแต่งมักจะเป็นสีทอง

– ประติมากรรมแกะสลักหินอ่อน ความปิติของเซนต์เทเรซา

ภาพ : การลักพาตัวยุโรปา ศิลปิน : บูเช ฟรองซัว

  • สมัยโรโกโก (คริสต์ศตวรรษที่ 17)

– ทำตามแบบอย่างศิลปะบาโรก แต่ปรับรายละเอียดของรูปทรง และเส้นสายลวดลาย ให้อ่อนช้อยมากยิ่งขึ้น

– คำเปรียบเปรยว่า “ศิลปะบาโรกเหมือนบุรุษหนุ่มผู้มีความสง่า ส่วนศิลปะโรโกโกเปรียบเสมือนสตรีที่มีความงดงามยิ่ง ”

– ใช้เครื่องเรือนหรูหราประดับตกแต่งด้วยวัตถุที่ประณีตงดงาม

– กำเนิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ช่วงสมัยของพระเจ้าหลุยที่ 14

– งานจิตรกรรมของ วาโต และ บูเช

  1. ศิลปะสมัยใหม่คริสต์ศตวรรษที่ 19

– ให้ความสำคัญกับการแสดงออกทางศิลปะที่สะท้อนเสรีภาพของบุคคลมากกว่าสะท้อนความเชื่อความศรัทธาในศาสนา และระบบศักดินา

  • ลัทธิคลาสสิกใหม่

– การเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศฝรั่งเศส

– การขุดค้นพบซากเมืองปอมเปอิโบราณสมัยโรมัน

ภาพ : The Oath of Horatii ศิลปิน : ดาวิด

ภาพ : การตายของโสคราติส ศิลปิน : ดาวิด

ภาพ : การตายของมาราต์ (The Death of Marat) ศิลปิน : ดาวิด

ภาพ :Achilles Receives the Ambassadors of Agamemnon ศิลปิน : แองกร์

ภาพ : Turkish Bath ศิลปิน : แองกร์

ภาพ : สถานพยาบาลที่จัสฟา ศิลปิน : กรอส

  • จินตนิยม

– กำเนิดขึ้นทางยุโรปตอนเหนือและสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19

– ศิลปะที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับลัทธิคลาสสิกใหม่ซึ่งมีกฎระเบียบมาก

– ปรับปรุงวิธีการวาดภาพแบบบาโรกและกำหนดเรื่องราวด้วยตนเอง

ภาพ : แพเมดูซา ศิลปิน : เจริโคท์

ภาพ : เรือบรรทุกทาส ศิลปิน : เทอร์เนอร์

ภาพ : เกวียนบรรทุกหญ้า ศิลปิน : คอนสเตเบิล

  • สัจนิยม

– ยึดถือหลักการสร้างผลงานให้ดูเหมือนจริงและเป็นจริงตามที่ตาเห็น

– มุ่งเน้นเนื้อหาความเป็นอยู่ของมนุษย์ เป็นปฏิปักษ์ต่อหลักสุนทรียศาสตร์ของลัทธิคลาสสิกใหม่และลัทธิจินตนิยม

– เชื่อว่า ในความจริงมีความงามอยู่แล้ว ศิลปินจะต้องบันทึกความงามตามที่เห็นอย่างละเอียด

– มีลักษณะการทิ้งรอยแปรงอย่างอิสระ คล่องแคล่วว่องไว ไม่เกลี่ยให้เรียบ

– ปรับสภาพแสงสีให้ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด

ภาพ : กรรมกรทุบหิน ศิลปิน : กูร์เบ (Gustave Courbet)

ภาพ : คนเก็บข้าวตก ศิลปิน : มีเล (Jean-Francois Milet)

  • ลัทธิประทับใจ

– แบ่งออกเป็น 3 ระยะ

  1. ให้ความสนใจในแนวคิดของลัทธิสัจนิยม
  2. เห็นว่าการรับรู้ของศิลปินตามความรู้สึกประทับใจมีความสำคัญกว่า
  3. เป็นระยะที่ศิลปินมุ่งแสดงความรู้สึกและอารมณ์ภายในด้วยสีมากกว่าความประทับใจที่เห็น

โมเนได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของลัทธิประทับใจ

– ปกติโมเนจะไม่วาดรูปคน ชอบวาดบรรยากาศธรรมชาติมากกว่า และชอบใช้แสงตามเวลา ตามฤดูกาล

เรอนัวร์ โปรดปรานการวาดภาพเรื่องราวเกี่ยวกับงานเลี้ยงสังสรรค์

– วาดภาพให้มีแสงตกกระทบบนรูปคนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่

– ประติมากรรมแกะสลักหินอ่อน จูบ (The Kiss) ของ โรแดง (Auguste Rodin)

  • ลัทธิประทับใจใหม่

– มีความเชื่อเกี่ยวกับทฤษฎีของแสง และทฤษฎีรูปกับพื้นตามทัศนะการมองเห็นของศิลปินยุคใหม่

– เชื่อว่าแสงเป็นอนุภาค จึงระบายสีของแสงและเงาเป็นจุดเล็กๆทั่วทั้งภาพ

– เน้นวิธีการวาดภาพตามแนววิทยาศาสตร์

– ลัทธิผสานจุดสี (Pointillism)

  • ลัทธิประทับใจยุคหลัง

– ให้ความสำคัญกับการแสดงออกด้วยความรู้สึกของสีมากกว่าเรื่องราว

– วาดรูปทรงที่ดูง่าย สีเป็นรูปทรงของตัวมันเอง

– เน้นรูปทรง และเรื่องราวที่ประทับใจมากกว่าวิธีการ

– ศิลปิน แวนโก๊ะ

  1. ศิลปะสมัยใหม่คริสต์ศตวรรษที่ 20

– ก่อตัวขึ้นที่กรุงปารีส

– จิตรกรรมที่วาดด้วยสีสดใส และใช้ฝีแปรงอิสระ

– ให้ความสำคัญกับอารมณ์ภายในของศิลปินมากกว่าวัตถุภายนอก และใช้สีเป็นสื่อแสดงออกโดยไม่คำนึงความถูกต้องหรือเหมือนจริง

  • ลัทธิโฟวิสต์

– ลัทธิแปลว่าสัตว์ป่า

– ผลงานให้ความรู้สึกรุนแรง ดุดันและตื่นเต้นต่อผู้พบเห็น

– ใช้สีสดๆและเส้นเด็ดเดี่ยว

– จัดภาพและสีโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงตามที่ตาเห็น

  • ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์

– ศิลปินมุ่งที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกภายในของตนเองมากกว่าการลอกเลียนแบบสิ่งที่อยู่ภายนอก

– ใช้สีไม่ตรงกับความเป็นจริง ทิ้งรอยพู่กันอย่างอิสระ

  • บาศกนิยม

– เซซานได้เคยกล่าวไว้ว่า “ ถ้าเข้าใจรูปทรงของโลกภายนอก และโครงสร้างตามความจริงแล้ว จงมองรูปทรงเหล่านั้นเป็นเหลี่ยม เป็นลูกบาศก์ง่ายๆ ”

– จึงถ่ายทอดรูปทรงนั้นโดยทำเป็นรูปเหลี่ยม

– ตัดทอน ย่นย่อส่วน หรือเพิ่มเติมตกแต่งรูปทรง

– รูปทรงบังกันหรือซ้อนกันคล้ายภาพเอ็กสเรย์

ภาพ : Clarinet and Bottle of Rum on a Mantelpiece ศิลปิน : บร้าก (Georges Braque)

ภาพ : หุ่นนิ่งหน้าช่องหน้าต่าง ศิลปิน : กริส (Juan Gris)

  • อนาคตนิยม

– แสดงออกถึงชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบัน

– เน้นถึงการแสดงอารมณ์ ความเคลื่อนไหว ความก้าวหน้าและภัยอันตราย

– นิยมเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว

– วัตถุที่เลือกใช้เป็นเนื้อหาสำหรับการวาดภาพเป็นวัตถุที่เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหว เช่น วงล้อจักรยาน

ภาพ : หญิงเปลือยก้าวลงบันไดศิลปิน : ดูแชมป์ (Marcel Duchamp)

ภาพ : เชือกจูงสุนัขกำลังแกว่ง ศิลปิน : จิอาโคโม บอลล่า

  • ศิลปะนามธรรม

– ให้ความสำคัญกับส่วนประกอบของการมองเห็นและหลักการจัดส่วนประกอบดังกล่าวมากกว่าเนื้อเรื่อง

ภาพ : กำลังแกว่ง (Swinging) ศิลปิน : คันดินสกี

การหล่อทองแดง การเปลี่ยนรูป (หอย -ห่าน – สมดุล – ตัวท่าน) ศิลปิน : อาร์ป (Arp,Jean)

  • ลัทธิคติดาดา

– ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมตัวกันต่อต้านสงคราม ก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางศิลปะขึ้น

– แสดงให้เห็นถึงความน่าเกลียด ตลกขบขัน หยาบโลน

ภาพ : Amorous Parade) ศิลปิน : ฟรานซิส ปิคาเบีย

– โถปัสสาวะ ค.ศ. 1917 มาร์เซล ดูแชมป์

  • ลัทธิเหนือจริง

– เจริญงอกงามมาจากลัทธิคติดาดา

– ส่งผลต่อลัทธิศิลปะต่างๆในระยะหลัง หรือที่เรียกกันว่าศิลปะร่วมสมัย (Contemporary Art) ในปัจจุบัน

ภาพ : ความไม่จิรังของกวี ศิลปิน : ชิริโค (De Chirico Giorgio

ภาพ : ช้างจากเมืองเซเลเบส ศิลปิน : แม็กเอิรนส์ (Max Ernst

  • ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรม

– ให้ความสำคัญการแสดงออกทางความรู้สึกภายในของศิลปิน

– แสดงออกด้วยวิธีการและเทคนิคใหม่ๆบนพื้นผิววัสดุอย่างมีพลัง มีความรุนแรง

– เชื่อว่า “ สุนทรียภาพควรเป็นความรู้สึก ที่แสดงออกตามสภาพแวดล้อมที่แท้จริงของสังคม สุนทรียภาพมิใช่เป็นความรู้สึกที่แสดงออกตามแนวทางหรือ กฎเกณฑ์แห่งความงามของอดีต”

ภาพ : น้ำตก ศิลปิน : กอร์กี้ (Arshile Gorky)

ภาพ : ปันโจวิลลา ตายหรืออยู่ ศิลปิน : มอเธอร์เวล

ภาพ : Full Fathom Five ศิลปิน : พอลลอค

  • ศิลปะประชานิยม

– ลัทธิเหมือนจริงแนวใหม่ (New Realism)

– สะท้อนภาพที่แท้จริงของสังคมปัจจุบันตามความรู้ความเข้าใจของสามัญชน

– แสดงถึงความชุลมุนวุ่นวายของสังคม

– เชื่อว่าศิลปะ คือ สิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกของผู้ชมทันทีทันใดเมื่อได้สัมผัสกับสิ่งที่คุ้นเคย

ภาพ : กระป๋องซุป ศิลปิน : วาร์โฮล (Andy Warhol)

– บุกเบิกนำเรื่องราวชีวิตประจำวันของสังคมอุตสาหกรรมมาสร้างเป็นผลงานศิลปะ

ภาพ : ผู้หญิงกับเครื่องสำอางศิลปิน : ไธบอด (Thiebaud Wayne)

  • ศิลปะลวงตา

– เชื่อว่า “ การมองเห็นและสีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ”

– อาจเรียกว่า Retina-Tourtourers,Visual Sadicts หรือ Abstract lllusionists

ภาพ : Pal-Ket ศิลปิน : วิกเตอร์วาสซาเรลี

ภาพ : Cataract 3 ศิลปิน : ไรเลย์ (Bridger Riley)

  1. ศิลปะลัทธิหลังสมัยใหม่

– ให้ความสำคัญกับแผนการและกระบวนการทำงานมากกว่าตัวผลงาน เนื้อหาของผลงานไม่มีขีดจำกัด

  • ศิลปะคติฉับพลัน

– หรือ Happening

– มีรากฐานทางสุนทรียภาพมาจาก คติดาดาและศิลปะประชานิยม

– สิ่งแวดล้อม แอลลันแคปโรว์ เป็นผู้นำคำว่า Happening มาใช้จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป

ภาพ : การแสดงแสงและไฟ ศิลปิน : ซิงเกลอร์ (Paris Sigler) ใช้แสงและสีในช่วงเวลาเพียง 8 วินาที และบันทึกภาพเก็บไว้ด้วยกล้องดิจิตอล

  • มโนทัศน์ศิลป์

– ศิลปะที่ใช้แนวคิด (Concepts) หรือความคิด (Idea

– ศิลปินจะต้องวางแผนและตัดสินใจว่าจะทำอะไรไว้ก่อน งานที่สำเร็จคือผลพลอยได้

– มาร์เซล ดูแชมป์ (Marcel Duchamp) ศิลปินชาวฝรั่งเศสเป็นผู้บุกเบิก

  • ภูมิศิลป์

– เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Earth art

– สร้างสรรค์เป็นรูปทรงโดยใช้วัสดุต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ

– อยู่ได้ไม่นาน ก็หายไปกับธรรมชาติ

– การห่อหน้าผา (เอาผ้ามาคลุมหน้าผา ลิเติ้ลเบย์ ยาวถึง 1 ไมล์ )ศิลปิน : คริสโต และ จีนน์ โกลด

– Spiral Jetty (นำหิน ดิน และสาหร่ายทับถมจัดรวมกันเป็นรูปก้นหอยยาวทอดออกไปกลางทะเลสาบ Great Salt Lake ) ศิลปิน : โรเบิร์ต สมิทสัน

  • ศิลปะดิจิตอล

– ศิลปะที่สร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ในรูปแบบดิจิตอล

– อาจใช้วิธีสแกนภาพ หรือวาดเป็นภาพขึ้นมาเองโดยใช้ซอฟต์แวร์

  • ศิลปะจัดวาง

– ศิลปะที่ใช้วัสดุทางประติมากรรมร่วมกับวัสดุอื่นๆ เพื่อเติมแต่งพื้นที่ว่าง

– เช่น : โครงการ The swap box project จัดทำกล่องบริจาคและกล่องรับบริจาคด้วยฝีมือของศิลปินเอง แขวนไว้ให้ผู้คนที่สัญจรไปมาหยิบของในกล่องบริจาคและบริจาคของกลับคืนมายังกล่องรับบริจาค

 

ใส่ความเห็น